เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.พ. ๒๕๖o

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันนี้วันพระด้วย ถ้าวันนี้วันพระด้วย เราจะบอกว่า เราต้องภูมิใจในชีวิตเรานะ เราภูมิใจในชีวิตของเรา เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมามีพ่อแม่เป็นคนเดียวกันไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาใช่ไหม จะยากดีมีจน เราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนตรัยของเราด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าทั้งหมดทั้งสิ้น เราเป็นญาติกันโดยธรรมๆ ถ้าเราเป็นญาติกันโดยธรรม เพราะเป็นญาติกันโดยธรรม เกิดมามีชีวิต ชีวิตนี้ต้องมีปากมีท้อง เราเสมอภาคกันโดยความเป็นมนุษย์ไง เราเสมอภาคกันโดยชีวิตนี้ไง

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนาสอนเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนานะ ถ้าสอนเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา เวลาสอนลงแล้ว สอนลงที่ไหน สอนลงที่หัวใจของสัตว์โลกไง ถ้าสอนลงที่หัวใจของสัตว์โลก สอนถึงความรู้สึกนี้ไง ถ้าความรู้สึก ถ้ามันรู้จักเสียสละทาน รู้จักการเสียสละ รู้จักการให้อภัย ชีวิตจะมีค่าขึ้นมาทันทีเลย

แต่เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมา เรามาบ่นมันทุกข์มันยากนะ จะยากจนเข็ญใจขนาดไหน เรามีศาสดาเป็นองค์เดียวกัน จะยากจนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าหัวใจมันมีธรรมในหัวใจ มันไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป ศาสนาเป็นที่พึ่ง ศาสนาเป็นที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

แต่เราตะเกียกตะกายกันจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ เราตะเกียกตะกายกันจะหาที่พึ่ง เวลาลูกเกิดมา ลูกเกิดมาต้องอาศัยพ่อแม่เป็นที่พึ่ง หัวใจของเรา หัวใจของเราจะอาศัยอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ ก็อาศัยศาสนา ถ้าศาสนา ศาสนาประจำชาติๆ ศาสนาประจำชาติ เราต้องเอาศาสนามาประจำในหัวใจของเรา ถ้าเรามีศาสนามาประจำในหัวใจของเรา นี่เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เวลาสังเวชนียถานทั้ง ๔ เราไปเพื่อศรัทธา เพื่อความมั่นคงของชีวิตของเรา ถ้าใครมีสติมีปัญญานะ มีสติปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทธะอยู่ในหัวใจของเรานี่ ในหัวใจของเรามีพุทธะ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้รู้ไง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง

แต่ตอนนี้ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันเศร้าหมองไง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันเศร้าหมองเพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำมันไง เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำ เราถึงได้เกิดมาไง เพราะความไม่รู้ถึงได้เกิดไง แต่จิตนี้มันต้องเกิดตลอดเวลา เห็นไหม จิตนี้คือเรา

เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เป็นผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่พอเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาเกิดเป็นมนุษย์ สำคัญตนความเป็นมนุษย์นี้ไง แต่มองข้ามหัวใจเราไปไง มองข้ามจิตนี้ไปไง แต่มองข้ามจิตนี้ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มองข้าม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาสิ่งนี้ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพร้อมทุกๆ อย่าง พร้อมทุกๆ อย่างแล้ว มีพร้อมทุกๆ อย่าง พร้อมทุกๆ อย่างแล้วมันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า “เราต้องเป็นเช่นนี้ใช่ไหม เราต้องเป็นเช่นนี้ใช่ไหม สิ่งที่เหนือกว่านั้นมันอยู่ที่ไหน”

สิ่งที่เหนือกว่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาค้นคว้าในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณ ชำระกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขๆ สุขแท้ๆ ที่โลกนี้ไม่มี

สิ่งที่เราแสวงหากันนี้เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนามันเป็นที่ความพอใจของคน ถ้าคนมันพอใจมันก็ว่ามันสุขของมัน พอเข้าใจได้ว่าไม่ใช่ความสุขของเรามันก็จะสลัดทิ้ง สลัดทิ้งจะหาความสุขต่อไปข้างหน้าๆ

วิมุตติสุข มันไปจนตรอกในจิตนั้นน่ะ อาสวักขยญาณ ภวาสวะ ตัวภพนั่นน่ะ เข้าไปถึงตัวภพนั้น ไปทำลาย ไปพลิกคว่ำตัวภพนั้นแล้วมันจะมีอะไรอีก นี่ไง ถ้าเสวยวิมุตติสุขๆ วิมุตติสุขมันอยู่ที่นี่ไง อยู่ที่นี่ นี่พูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเราใช่ไหม เราเกิดมาเรามีศาสดาเป็นองค์เดียวกันนะ เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่อาศัยนะ ถ้าเรามีที่พึ่งที่อาศัย

เราเกิดมายากดีมีจน เราก็เป็นญาติกัน เราต้องมีน้ำใจต่อกัน เราเป็นบัณฑิตไง เราไม่คบพาล เวลาพาล พาลในหัวใจของเรา ถ้าพาลในหัวใจของเรา มันขัด มันแย้ง มันไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น ในหัวใจมันไม่พอใจในหัวใจนี้ พอไม่พอใจแล้วมันแสดงออก พอแสดงออกไปกระทบไปกระเทือนคนอื่น แต่มันไม่กระทบกระเทือนหัวใจเราเลย เราไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันเป็นพาล เราไม่รู้เลย แต่เราคิดว่ามันเป็นความดีๆ แล้วเวลาแสดงออกไป พาล มันพาลย่ำยีในหัวใจของเรา แล้วมันจะย่ำยีคนอื่น เห็นไหม

วันสำคัญทางพระพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ นี่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย เราเลี้ยงลูกจะประสบความสำเร็จอย่างนี้หรือไม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอหิภิกขุ เป็นผู้บวชให้เอง เป็นลูกของท่าน แล้วท่านก็สั่งสอนเป็นพระอรหันต์หมดเลย นี่พ่อตัวอย่างๆ ไง

เวลาเราทำประสบความสำเร็จ เราได้เหรียญตรา ได้โล่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เห็นได้อะไรเลย ได้แต่ความเป็นพระอรหันต์ของสาวก ความเป็นพระอรหันต์ของ ๑,๒๕๐ องค์ ๑,๒๕๐ องค์ เอหิภิกขุคือบวชให้เอง แล้วสอนเอง ประสบความสำเร็จ เห็นไหม แล้วเราเป็นใคร เราเป็นใคร

เราเป็นสาวกสาวกะ เราเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟัง เราต้องมั่นคงของเรา อย่าหวั่นไหว เราหวั่นไหวกัน เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมานี่หวั่นไหว หวั่นไหวแล้วโยนทิ้งเลย ไม่นับถือแล้วศาสนา ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ทุกข์ทั้งนั้นเลย ทำแล้วบุญกุศลมันอยู่ไหน ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเลย

มันไม่ได้คิดถึงกรรมเก่า คนเรานะ เวลากรรมเก่ากรรมใหม่ไง เวลาเราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ใครทำบุญกุศล ใครมีศรัทธาความเชื่อก็เยาะเย้ยเหยียดหยันเขา เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เราทุกข์เรายากเพราะอะไรล่ะ เราทุกข์เรายากขึ้นมาเพราะการกระทำอันนั้นไง แต่ของเขา ที่เขามีความสุขมีความสมบูรณ์ของเขาเพราะอะไร เพราะเขาทำของเขามา เขาทำของเขามาไง นี่ไง บอกว่า เวลาทำบุญกุศลแล้วทำไมเราไม่ได้อย่างนั้นๆ

ก็เราทำมา เราทำมา เราทำมาจนเกิดเป็นมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เราก็มีศักยภาพของความเป็นมนุษย์ไง แต่สิ่งที่ทำมาๆ ทำมามันคืออะไร วาสนาคือจังหวะและโอกาส วาสนา คำว่า บารมี” อำนาจวาสนาคือจังหวะและโอกาส เขามาของเขาพับๆๆ ได้ทุกที ไอ้ของเรามาถึงแล้วเจียนจะไปๆ

นี้เราจะย้อนกลับไปที่กรรมเก่ากรรมใหม่ไง กรรมเก่ากรรมใหม่คือเราทำของเรามา เราอย่าไปเสียใจของเรา ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาของเรา เราก็พยายามทำความดีของเราตลอดไป แล้วถ้าทำความดีของเราไป ถ้ามันมาถึงของเราๆ มาถึงของเรามันก็ถึงวาระของเราเท่านั้นน่ะ วาระของเรา นี่เรื่องของโลกไง บอกว่าเราทำแล้วเราไม่สมความปรารถนา

ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่ความดีเป็นความดีไง ความดี ทำความดีแล้วมันเป็นสุจริตธรรมคุ้มครองเรา มันเป็นสุจริต มันมีความอบอุ่นในหัวใจ ถึงมันจะทุกข์มันจะยาก แต่เราก็ทำดีของเรานะ กัดก้อนเกลือกินมันก็มีสัจจะในหัวใจของเรา แต่ถ้าสิ่งที่เราได้มาด้วยความทุจริต ด้วยความผิดของเรา เราได้สิ่งใดมาแล้วมันไม่สบายใจหรอก มันไม่สบายใจ ทั้งๆ ที่ว่าเราต้องอยู่กับสังคม เราต้องอยู่กับโลกนะ เราต้องเสมอภาคกัน เราต้องทำเพื่อเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น แต่ในใจของเราล่ะ ถ้ามันได้มาในใจของเรา เห็นไหม

ฉะนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนตรงนี้ไง ถ้ามันมีความสะอาดในหัวใจของเรา ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเราๆ ประโยชน์กับเราคือบุญกุศล ประโยชน์กับเราคือสิ่งที่ว่า ความลับไม่มีในโลก เราไปรู้ของเราเอง ถ้าเราทำความสะอาดของเรา เราทำของเราแล้ว มันไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่หวั่นไหวนี้ไปข้างนอก สิ่งหวั่นไหว โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ไอ้นั่นมันสรรเสริญนินทา

หลวงตาท่านพูดประจำ ชอบกินลูกยอ ต้องการให้เขาสรรเสริญ ให้เขาสรรเสริญ ชอบกินลูกยอ ไอ้พวกชอบกินลูกยอน่ะไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร

เราไม่เอาลูกยอ โลกธรรม ๘ ขนโคกับเขาโค เวลาสรรเสริญนินทาอย่างนั้นน่ะมันเป็นขนโค ขนโคนะ ในสังคมนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่กับคนฉลาดใครมากกว่ากัน คนโง่ทั้งนั้นน่ะ แล้วเสียงอย่างนั้นๆๆ ไอ้คนฉลาด ไอ้เขาโคๆ น่ะ เขาโค สิ่งที่ครูบาอาจารย์เราท่านชื่นชม ถ้ามันชื่นชม มันถึงเวลาขึ้นมามันชื่นชมอย่างนั้นน่ะ ถ้าทำได้จริง นี่ขนโคกับเขาโค ถ้าเราจะเอาเขาโค เราไม่ต้องไปกินลูกยอของใครทั้งสิ้น

ไอ้นั่นมันลูกยอน่ะ แต่มันเป็นกระแสสังคมนะ สังคมก็เป็นสังคม ทีนี้เราอยู่กับสังคม เวลาหลวงตาท่านพูดอีกล่ะ ธรรมะของท่านไม่ขัดไม่แย้งกับใครทั้งสิ้น สัจธรรมความจริงมันเข้าได้หมดทั้งเม็ดหินเม็ดทรายเลยล่ะ

คนมันจะเลวก็เรื่องของเขา เขาทำกรรมดีกรรมชั่วก็เรื่องของเขา เราไม่ได้ได้กับเขา เสียกับเขา แต่เห็นแล้วมันสังเวชไง ธรรมสังเวชๆ เราเห็นสิ่งใดที่มันผิด มันไม่ดี เราสังเวชไหม ถ้าสังเวชนะ อย่างนี้เราไม่ทำ อย่างนี้เราไม่ทำ เราจะทำแต่สิ่งที่ดีงามของเรา เราจะทำสิ่งที่ดีงามของเรา

แล้วทำสิ่งที่ดีงามแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ ทำสิ่งที่ดีงามไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย

อ้าว! ก็ได้ความดี ความดีที่ว่าทำบุญทิ้งเหวๆ เราทำของเราเป็นความดีของเรา แล้วความดีของเรานะ ความดีมากขึ้นๆ ความดีจนเป็นความดีแท้ ความดีแท้มันเป็นความดีแท้มาจากไหน ความดีแท้มันมาจากหัวใจ ถ้าความดีแท้ เพราะอะไร

เพราะสิ่งที่มันดี เวลาถือศีล ข้างนอก ข้างใน เวลาถือจากข้างนอก เราละเว้นทั้งหมดเลย นี่ศีลจากภายนอก เวลาศีลจากภายใน เราเว้นทั้งหมดเลย หัวใจเราละเว้นไหม ความคิดมันมีอยู่ไหม มโนกรรมๆ แต่ถ้ามันอธิศีลนี่เป็นความปกติของใจ ใจมันเป็นปกติขึ้นมา นี่เวลารักษาศีล ถ้าถือศีลขึ้นมาศีลจากภายใน

ถ้าศีลจากภายในขึ้นมา ถ้ามันละเว้นมาได้หมดแล้ว แล้วถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาๆ เราจะเห็นเลย เราจะรู้เลย เราจะรู้เลย แล้วจะมีคุณค่ามากเลย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าใครมีความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบแล้ว มันมีสติสัมปชัญญะ มันรู้พร้อมนะ มันมีความสุข สิ่งที่แสวงหามันมีหลักมีเกณฑ์ มันไม่ใช่เลื่อนลอย ไม่ใช่พูดกันแต่ปาก ชอบกินลูกยอน่ะ ให้เขาสรรเสริญน่ะ แล้วหัวใจมันก็เผาลนไปด้วยไฟ แต่ถ้าเราทำความปกติของใจเราเข้ามา ถ้าจิตมันสงบนะ อยู่ท่ามกลางไฟมันก็เย็นน่ะ อยู่ท่ามกลางกองไฟมันก็มีความสุข มีความสุขในใจของมันน่ะ แล้วมีใครรู้กับเราได้

นี่ไม่เป็นอย่างนั้นน่ะ หน้าไหว้หลังหลอก ปั้นหน้ากันไป โอ้โฮ! มีความสุข...ความสุข ณ เบื้องหน้าเบื้องหลังไง แต่ธรรมะไม่มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “ไม่มีกำมือในเรา” แบหมด ศาสนานี้แบหมด แบหมด แล้วให้เราฝึกขึ้นมา ให้เราทำขึ้นมา แล้วไม่เห็นเป็นจริงสักที เขามีความสุขๆ ทำไมเรามีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความทุกข์ยาก

ความทุกข์ยาก มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา ถ้าความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา การกระทำ สิ่งที่เราศึกษามา ศึกษามาเป็นวิธีการทั้งนั้น สิ่งที่ศึกษามา ชี้เข้ามาที่ใจของเราทั้งนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติไป สิ่งที่มันต่อต้าน สิ่งที่มันทำลายการประพฤติปฏิบัติของเราก็คือกิเลสเราเท่านั้น ไปคาดไปหวัง ไปคาดหมายไปทั่ว ฟุ้งซ่านไปตลอด คิดมรรคคิดผล มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตมันต้องสงบเข้ามาก่อน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาท่องจำ ไม่ใช่ปัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สัญญาย้ำแล้วย้ำเล่า แล้วกลัวผิดกลัวพลาด กลัวมันจะไม่ประสบความจริง กลัวไปหมดเลย

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันผิดพลาด ผิดพลาด เราได้รสนะ รสของสมาธิธรรม เรามีความสงบแล้ว รสของปัญญา เวลาปัญญา เวลาหลวงตาท่านสอนนะ สมาธิจับ ปัญญาตัด

รสของสมาธิมันก็เป็นรสชาติหนึ่ง แต่รสของปัญญา ท่านพูดเลยนะ มันไม่มีขอบมีเขต ปัญญานี้มันไปได้ตลอด ปัญญามันค้นคว้าไปได้ทั่ว นั่น! นั่นนี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่ปัญญาขี้เท่อจดจำเขามา พอจดจำเขามาแล้วมันกรอบไง เราสังเวช คำก็พุทธพจน์ สองคำก็พุทธพจน์

เราเกิดเป็นมนุษย์นะ ชาวพุทธเรา เรามีศาสดาองค์เดียวกัน เรามีพ่อคนเดียวกันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญามันแบ่งสุตมยปัญญาคือการศึกษา โลกเราจะเจริญได้ด้วยการศึกษา โลกเราจะเจริญได้ด้วยปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นวิชาชีพ ปัญญาอย่างนี้เราเข้าใจเรื่องโลก เราเศร้าใจเรื่องความเป็นอยู่นะ

จินตมยปัญญา ปัญญาถึงว่าจินตนาการว่าใครอยากมีเป้าหมายชีวิต ใครอยากเป็นสิ่งใด เรามีจินตนาการเป็นเป้าหมาย

ถ้าภาวนามยปัญญา ไม่มีใครเคยเห็นน่ะ ถ้ามีคนเคยเห็นนะ เวลาเขาพูดถึงพระพุทธศาสนา สาธุ พุทธพจน์ๆ เราเทิดใส่ศีรษะไว้ นี่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันไม่ใช่ของเรา เห็นไหม มีด อาวุธที่เขาไว้ใช้มันไม่ใช่อาวุธของเรา มันก็เป็นอาวุธของคนอื่นทั้งนั้นน่ะ ถ้าอาวุธที่เราจะใช้เป็นประโยชน์ก็ต้องเป็นอาวุธของเรา ถ้ามันเกิดเป็นปัญญา มันก็ต้องเกิดเป็นปัญญาจากจิตของเรา มันจะไปเอาปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมาใช้ว่าเป็นประโยชน์กับเราๆ มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ปัญญาคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน สาธุ นี่ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนี้วันสำคัญ สำคัญเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอหิภิกขุ บวชให้เอง แล้วสั่งสอนเองจนเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย นี่ของแท้ๆ ทั้งนั้นน่ะ แล้วพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ แต่ละองค์ที่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็เป็นด้วยปัญญาของท่านทั้งนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตบแต่งสิ่งใดให้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ แสดงธรรมแล้วเขาใช้ปัญญาของเขาไตร่ตรอง เขาใช้ปัญญาของเขาขบปัญหา เขาใช้ปัญญาของเขาขบปัญหาในใจของเขา แล้วเขาบรรลุธรรม เขาเห็นธรรม ดวงตาเขาแจ่มแจ้งของเขา นี่คือการกระทำของเขา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญามันเกิดอย่างนี้ นี่ถ้าปัญญามันเกิดอย่างนี้ เห็นไหม

เราที่มาทำบุญกุศลนี่ระดับของทาน วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราก็ทำบุญกุศลของเรา เสียสละขึ้นมา มันเป็นบุญ เป็นบุญที่ไหน เป็นบุญที่ว่าเราให้เกียรติตัวเราเอง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธสาสนา พระพุทธศาสนา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เรายังไม่รู้จักอีกหรือ ถ้าเรารู้จักขึ้นมา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราก็แสดงออก เราแสดงออกด้วยการเสียสละ เราแสดงออกด้วยการทำทาน เรามาทำบุญกุศลกัน ทำทานเสร็จแล้วเขาก็ไปเวียนเทียนกัน เวียเทียน เคารพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๓ รอบ

นี่ก็เหมือนกัน เราก็เวียนในใจของเรา เราก็จะค้นคว้าหาใจของเรา แล้วเราหาพุทธะของเรา ถ้าเราเจอพุทธะของเรา เราไม่ต้องไปที่ไหนเลย เราอยู่ที่ไหน เราเดินที่ไหน เรานั่งที่ไหน เราก็มีพุทธะในใจของเรา แล้วถ้ามีพุทธะในใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

ดวงใจอยู่กับเรานี่แห้งแล้ง เดินไปเดินมาด้วยความทุกข์ นั่งที่ไหนก็อมทุกข์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถ ธรรมโอสถจะแก้ไขหัวใจที่อมทุกข์อยู่นี่ ถ้าหัวใจที่มันอมทุกข์อยู่นี่มันก็เกิดจากคำบริกรรม เกิดจากการนั่งสมาธิ เกิดจากการภาวนา ถ้าเกิดจากการภาวนา มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของจิตดวงใด จิตดวงใดประพฤติปฏิบัติสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรม ธรรมะสิ่งนั้นจะเข้าไปอยู่ในใจดวงนั้น ดวงนั้นน่ะ ถ้าใจดวงนั้นขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาๆ ใจมันมีค่าอย่างนี้ มนุษย์มันมีค่าอย่างนี้

สิ่งที่เราทำมา ทำมาเป็นประเพณีวัฒนธรรมนะ ไม่เสียหาย เป็นประเพณีวัฒนธรรม สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรม ก็เรามีวัฒนธรรมไง ก็เราเป็นชาวพุทธไง เราเป็นมนุษย์ เรามีวัฒนธรรมนะ เรามีวัฒนธรรมของเรา สิ่งที่วัฒนธรรมก็เป็นวัฒนธรรมไง วัฒนธรรมมันก็หล่อหลอมเราให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม แล้วหัวใจล่ะ มันมีธรรมหรือไม่ ถ้ามีธรรม มันก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องฝึกหัดขึ้นมา

เราจะบอกว่า ถ้าเราทำขึ้นมานะ สิ่งใดก็แล้วแต่ หลวงตาท่านพูดอีกล่ะ ในห้างสรรพสินค้ามีสินค้าเต็มไปหมดเลย เราไปเดินตากแอร์กัน เดินเข้าเดินออก ไม่มีอะไรติดมือมาเลยไง ถ้าไปเดินตากแอร์ก็ไปเดินตากแอร์ไปเห็นเฉยๆ

นี่ก็เหมือนกัน ภูมิใจ ภูมิใจว่าเป็นชาวพุทธ ภูมิใจว่าเป็นชาวพุทธ สติเป็นอย่างไร สมาธิรู้จักมันไหม รู้จักสมาธิ ก็ ส.เสือ ม.ม้า สระอาไง ไอ้นั่นมันชื่อ เราจะเป็นชื่อมนุษย์ใช่ไหม เราน่ะชื่อว่ามนุษย์ แต่ความทุกข์เต็มหัวใจ

แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา สติรู้จักมันไหม ถ้าสมาธิรู้จักมันไหม ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นน่ะ โอ้โฮ! เต็มหัวใจ ไม่ไปเดินตากแอร์ มันจะไปอยู่ที่สงบสงัด อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ไม่ต้องกระเสือกกระสน

เวลามันทุกข์มันยากนนนะ มันกระเสือกกระสนนะ ที่ไหนนะ มันจะมีความสุขให้เราบ้าง ที่ไหนนะ มันจะผ่อนคลายเราบ้าง แสวงหากันนะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงแล้วนิ่ง มันนิ่งอยู่ เห็นไหม นิ่งอยู่แล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ เราอยู่กับพุทธะ เราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เบิกบานไหม ตื่นไหม ความสุขไหม แล้วถ้ามันจริงมันเป็นอย่างนั้นน่ะ ขอให้ทำจริงเถอะ แล้วทำได้จริงแล้วไม่ต้องถามใคร ไอ้ถามๆ เขาน่ะมันถามเขาเพราะมันยังไม่แน่ใจไง

ไม่ต้องถามใคร ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นไหม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มันจะกังวาลกลางหัวใจนั้น

ศาสนาพุทธนี้มหัศจรรย์มาก เวลาเผยแผ่ไปๆ ผู้ที่ปัญญาชน ผู้ที่มีปัญญานะ เขาจะค้นคว้า เขาจะเชื่อของเขา แสวงหาของเขา เพราะมันตอบโจทย์ มันตอบโจทย์ที่มนุษย์ทำได้ มันตอบโจทย์ที่สิ่งที่มีชีวิตทำได้ มันตอบโจทย์น่ะ

ศาสนาอื่นมันทำอย่างไรล่ะ อ้อนวอนให้เขาเป็นคนชี้หรือ แต่พระพุทธศาสนา ถ้ามีสติมีปัญญานะ มันท้าทาย ท้าทาย เราเป็นคนคนหนึ่ง เราก็รักเรามาก เราก็แสวงหาของเราอยู่นี่ แล้วทำไมมันไม่เจอสักที ถ้าไม่เจอสักที เราก็พยายามกระทำของเราให้มันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เราถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไม่เสียชาติเกิด เอวัง